วันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

บทที่ 9 E-Government

บทที่ 9
E-Government

ความหมาย e-government

ve-government หรือรัฐอิเล็กทรอนิกส์ ประกอบด้วยหลักการที่เป็น
แนวทาง 4 ประการคือ

  1. สร้างบริการตามความต้องการของประชาชน
  2. ทำให้รัฐและการบริการของรัฐเข้าถึงได้มากขึ้น
  3. เกิดประโยชน์แก่สังคมโดยทั้วกัน
  4. มีการใช้สารสนเทศที่ดีกว่าเดิม

ve-government คือ วิธีการบริหารจัดการภาครัฐสมัยใหม่ที่เน้นการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเครือข่ายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของผลงานของภาครัฐ และปรับปรุงการบริการแก่ประชาชน และการบริการด้านข้อมูลเพื่อเพิ่มอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับรัฐมากขึ้น โดยการใช้เทคโนโลยีจะนำมาใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพของการเข้าถึง และการให้บริการของรัฐ โดยมุ่งเป้าไปที่กลุ่มคน 3 กลุ่ม คือ ประชาชน ภาคธุรกิจและข้าราชการเอง ผลพลอยได้ที่สำคัญที่เราจะได้รับคือความโปร่งใสที่ดีขึ้นอันเนี่องมากจากการเปิดเผยข้อมูลที่หวังว่าจะนำไปสู่การลดคอรัปชั่น หากเทียบกับ e-commerce แล้ว egovernment คือ G-to-G1 Transaction และมีลักษณะเป็น intranet มีระบบความปลอดภัย เพื่อทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างหน่วยงานของรัฐ ในขณะที่ e-services เทียบได้กับ B-to-G2 และ G-to-C3 Transaction ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อในการให้บริการ โดยภาคธุรกิจกับประชาชนคือผู้รับบริการ





vหลัก e-Government จะเป็นแบบ G2G G2B และ G2C ระบบต้องมีความมั่น คงปลอดภัยเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานของรัฐประชาชนอุ่นใจในการรับบริการและชำระเงินค่าบริการ ธุรกิจก็สามารถดำเนินการค้าขายกับหน่วยงานของรัฐด้วยความราบรื่น อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อทางอิเล็กทรอนิกส์ทีีสำคัญในการให้บริการตามแนวทางรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์


1. รัฐ กับ ประชาชน (G2C)
 เป็นการให้บริการของรัฐสู่ประชาชนโดยตรง โดยที่บริการดังกล่าวประชาชนจะสามารถดำเนินธุรกรรมโดยผ่านเครือข่ายสารสนเทศ ของรัฐ เช่น การชำระภาษี การจดทะเบียน การจ่ายค่าปรับ การรับฟังความคิดเห็นของประชาชน การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวแทนประชาชนกับผู้ลงคะแนนเสียงและการค้นหาข้อมูล ของรัฐที่ดำเนินการให้บริการข้อมูลผ่านเว็บไซต์ เป็นต้น โดยที่การดำเนินการต่าง ๆ นั้น
จะต้องเป็นการทำงานแบบ Online และ Real Time มีการรับรองและการโต้ตอบที่มีปฏิสัมพันธ์
2. รัฐ กับ เอกชน (G2B)
 เป็นการให้บริการขภาคธุรกิจเอกชน โดยที่รัฐจะอำนวยความสะดวกต่อภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมให้สามารถแข่งขันกันโดย ความเร็วสูง มีประสิทธิภาพ และมีข้อมูลที่ถูกต้องอย่างเป็นธรรมและโปร่งใส เช่น การจด
ทะเบียน ทางการค้า การลงทุน และการส่งเสริมการลงทุน การจัดซื้อจัดจ้างทางอิเล็กทรอนิกส์ การส่งออกและนำเข้า การชำระภาษี และการช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก
3. รัฐ กับ รัฐ (G2G)
  เป็นรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปมากของหน่วยราชการ ที่การติดต่อสื่อสารระหว่างกันโดยกระดาษและลายเซ็นต์ในระบบเดิมในระบบราชการเดิม จะมีการเปลี่ยนแปลงไปด้วยการใช้ระบบเครือข่ายสารสนเทศ และ ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์เป็นเครื่องมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างเป็นทางการเพื่อเพิ่มความเร็วในการดำเนินการ (Economy of Speed) ลดระยะเวลาในการส่งเอกสารและข้อมูลระหว่างกันนอกจากนั้นยังเป็นการบูรณาการการให้บริการระหว่างหน่ววยงานภาครัฐโดยการใช้การเชื่อมต่อโครงข่ายสารสนเทศเพื่อเอื้อให้เกิดการทำงานร่วมกัน (Collaboration) และการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน (Government Data Exchan)ทั้งนี้รวมไปถึงการเชื่อมโยงกับรัฐบาลของต่างชาติ และองค์กรปกครองท้องถิ่นอีกด้วย ระบบงานต่าง ๆ ที่ใช้ในเรื่องนี้ ได้แก่ ระบบงาน Back Office ต่าง ๆ ได้แก่ ระบบงานสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ระบบบัญชีและการเงินระบบจัดซื้อจัดจ้างด้วยอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น อย่างไรก็ดี จะต้องมีกระบวนการในการลดแรงต่อต้านของบุคลากรที่คุ้นเคยกับการทำงานในระบบเดิม

4. รัฐ กับ ข้าราชการและพนักงานของรัฐ (G2E)
 เป็นการให้บริการที่จำเป็นของพนักงานของรัฐ (Employee)กับรัฐบาล โดยที่จะสร้างระบบเพื่อช่วยให้เกิดเครื่องมือที่จำเป็นในการปฏิบัติงานและการดำรงชีวิต เช่น ระบบสวัสดิการ ระบบที่ปรึกษาทางกฎหมาย และ
ข้อบังคับในการปฏิบัติราชการ ระบบการพัฒนาบุคลากรภาครัฐ เป็นต้น





บทที่ 8 E-Marketing

บทที่ 8
E-Marketing

E-Marketing

vE-Marketing ย่อมาจากคำว่า Electronic Marketing หรือเรียกว่า “การตลาดอิเล็กทรอนิกส์” หมายถึงการดำเนินกิจกรรมทางการตลาดโดยใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่ทันสมัยและสะดวกต่อการใช้งาน เข้ามาเป็นสื่อกลาง ไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ หรือพีดีเอ ที่ถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันด้วยอินเทอร์เน็ต มาผสมผสานกับวิธีการทางการตลาด การดำเนินกิจกรรมทางการตลาด อย่างลงตัวกับลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายขององค์กรอย่างแท้จริง

E-marketing plan

vวัตถุประสงค์ของโครงสร้างการทำ E-marketing Plan เพื่อ
  • Cost reduction and value chain efficiencies
  • Revenue generation
  • Channel partnership.
  • Communications and branding




ข้อดีของ E-Marketing เมื่อเทียบกับสื่ออื่น
  1. เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้ าหมายมากกว่า 800 ล้านคน 225 ประเทศ 104 ภาษา
  2. สามารถวัดผลได้แม่นยำกว่าสื่ออื่น
  3. ราคาลงโฆษณาถูกกว่าเมื่อเทียบกับสื่ออื่น
  4. จำนวนผู้ใช้สื่อนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
  5. คุณภาพของผู้ใช้มีมากกว่าสื่ออื่น


Click and Click เป็นการให้บริการบนอินเทอร์เน็ตอย่างเดียว ไม่มีธุรกิจในโลกจริง
Click and Mortar เป็นรูปแบบที่มีธุรกิจจริง (Real) อยู่แล้วแต่ขยายมาทำในอินเทอร์เน็ต

การเริ่มต้นการตลาดออนไลน์
  1. กำหนดเป้าหมาย
  2. ศึกษาคู่แูข่ง
  3. สร้างพันธมิตร
  4. ติดตั้งอุปกรณ์ที่จำเป็น
  5. ดูแลและปรับปรุงเว็บไซต์



Search Engine Marketing
รูปแบบของ Search Engine

  1. Natural Search Engine Optimization (SEO)
  2. Paid Search Advertising (Pay Per Click Advertising)



1. Natural Search Engine Optimization (SEO)
  • เป็นการปรับแต่ง Key Word ให้ตรงกับเว็บไซต์
  • เมื่อมีการค้นหาผ่าน Search Engine ชื่อเว็บจะแสดงอยู่ในหน้า รายการของเว็บที่ค้นเจอ
ข้อดี
  • ฟรี Traffic
  • ผู้ชมจะคลิกในส่วนนี้สูงถึง 60-70%
ข้อเสีย
  • ใช้เวลานานในการขึ้นอันดับ
  • สามารถเลือกจำนวน keyword ได้จำกัดแค่ 2-5 คำต่อเนื้อหาหนึ่งหน้าของเว็บเพจ
  • ไม่สามารถรักษาสถานะของอันดับได้แน่นอน
  • ไม่สามารถวัดค่า ROI ที่แน่นอนใช้เวลานานกว่าจะรู้ผลของแต่ละคำ
2. Paid Search Advertising
     เป็นการโฆษณาแบบจ่ายเงินเพื่อทำให้เว็บของคุณ แสดงเมื่อมีการค้นหาใน Key Word
ที่คุณกำหนดไว้

ข้อดี
  • พร้อมใช้ในเวลาไม่ถึง 15 นาที
  • แม้ว่า Search Engine จะเปลียนแปลงการจัดใหม่ อันดับของคุณจะคงที่อยู่เสมอ
  • สามารถเลือกจำนวน keyword ได้ไม่จำกัด
  • ควบคุมค่าใช้จ่าย และสามารถวัดค่า ROI ได้แม่นยำและใช้เวลาไม่นาน
ข้อเสีย
  • ต้องเสียเงินทุกครั้งเมื่อมีคนคลิก Ad
  • ต้องใช้ทักษะที่ค่อนข้างสูงในการบริหาร Ad
E-Mail Marketing การตลาดผ่านอีเมล์
  1. สร้าง Mail Marketing ของตัวเอง
  2. ไปยืมรายชื่อคนอื่นๆส่งBlanketMail.com, Briefme.com, Colonize.com, MailCreations.com, TargetMails.com
  3.  ยิงมั่ว หรือ SPAM
  4. ไปดูด Email จากแหล่งต่าง website, search engines, whois database,
Raid Marketing (การตลาดแบบจ่โู จม)
vใช้คนเป็นจำนวนมากในการเข้าไป “สร้างกระแส” ตามแหล่งต่างๆ ที่มีคนเยอะ
  • chat rooms, forums, discussion groups etc
    around the world
vใช้ความเป็น “ส่วนตัว” เข้าไปสร้างกระแสสังคมใน Virtual Community

6 Cs กับความสำเร็จของการทำเว็บ
  1. C ontent (ข้อมูล)
  2. C ommunity (ชุมชน,สังคม)
  3. C ommerce (การค้าขาย)
  4. C ustomization (การปรับให้เหมาะสม)
  5. C ommunication, Channel (การสื่อสารและ
    ช่องทาง)
  6. C onvenience (ความสะดวกสบาย)

วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

บทที่ 7 Supply Chain Management (ERP,CRM)


บทที่ 7 

Supply Chain Management (ERP,CRM)


Supply Chain Management

     ระบบที่จัดการการบริหารและเชื่อมโยงเครือข่ายตั้งแต่ suppliers, manufacturers, distributors เพื่อส่งมอบ สินค้าหรือบริการให้ลูกค้าโดยมีการเชื่อมโยงระบบข้อมูล วัตถุดิบ สินค้าและบริการ เงินทุน รวมถึงการส่งมอบเข้าด้วยกัน เพื่อให้ การส่งมอบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถส่งมอบได้ตรงตามเวลาและความต้องการ

รูป 7.1 Supply Chain Illustration

รูป 7.2 Supply Chain for Denim Jeans

รูป 7.3 Supply Chain for Denim Jeans (cont.)

ขั้นตอนวิวัฒนาการไปสู่ระบบการจัดการซัพพลายเชน

      การกำเนิดระบบการบริหารซัพพลายเชนกล่าวกันว่ามีต้นแบบมา จากการส่งลำเลียงเสบียงอาหารและอาวุธยุโธปกรณ์ตามระบบส่ง กำลังบำรุงของทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงสงครามที่ต้องการ ความมั่น ใจว่าอาวุธและเสบียงอาหารจะต้องจัดส่งให้เพียงพอกับ ความต้องการและไปยังสถานที่ที่กำหนดอย่างถูกต้องตรงเวลา เพื่อให้เกิดความสูญเสียน้อยที่สุด จึงจำเป็นต้องอาศัยการวางแผนจัดลำดับก่อนหลังและรักษาประสิทธิภาพในการสื่อสารที่ รวดเร็วและแม่นยำ  ซึ่งต่อมาแนวความคิดดังกล่าวได้นำมาพัฒนาและดัดแปลงให้กับ ธุรกิจการค้าและอุตสาหกรรมเพื่อมุ่งสร้างคุณค่าและความพึง

พอใจแก่ลูกค้าด้วยต้นทุนที่ลดลง โดย Helen Peek และคณะได้ กล่าวถึงระยะของการเปลี่ยนแปลงธุรกิจเพื่อเข้าสู่กระบวนบริหารซัพพลายเชน 4 ระยะ คือ

ระยะที่ 1 องค์กรในรูปแบบพื้นฐาน 
(The Baseline Organization)
      เป็นรูปแบบการบริหารจัดการแบบดั่งเดิมที่ต้องการสร้างผลกำไรสูงสุดขององค์กร โดยเน้นความชำนาญในการทำงานของแต่ละแผนก/ฝ่ายซึ่งองค์กรในรูปแบบนี้ อาจไม่สามารถปรับแผนการ ผลิตและการจัดหาวัตถุดิบได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาดของ ผู้บริโภคเนื่องจากแต่ละแผนก/ฝ่ายต่างทำงานเป็นอิสระต่อกันไม่เกี่ยวกัน

ระยะที่ 2 องค์กรที่รวมหน้าที่ทางธุรกิจเข้าด้วยกัน
(The Functionally Integrated Company)
     ในระยะนี้องค์กรจะเริ่มจัดตั้งเป็ นบริษัท โดยในองค์กรได้มีการรวบรวมหน้าที่/ลักษณะงานที่เป็นประเภทเดียวกันหรือคล้ายคลึงกันไว้ในกลุ่มงาน/ฝ่ายเดียวกัน ซึ่งจะไม่มีแบ่งแยกหน้าทีีีความรับผิดชอบออกจากันอย่างเด็ดขาดเหมือนระยะแรกเช่น ฝ่ายจัดการวัตถุดิบมีหน้าที่จัดซื้อ จัดสรร ควบคุมการใช้
วัตถุดิบและปัจจัยการผลิตอื่นๆ ฝ่ายการผลิตมีหน้าที่วางแผนการผลิต และควบคุมคุณภาพการผลิต และฝ่ายขายมีหน้าที่วางแผนการตลาดและขายสินค้า เป็นต้น

ระยที่ 3 องค์กรที่รวมการดำเนินงานภายในธุรกิจไว้ด้วยกัน
(The Internally Integrated Company)
     ในระยะนี้องค์กรมีการพัฒนาและปรับปรุงโครงสร้างองค์กรของตนอย่างต่อเนื่องจากระยะที่ 2 โดยฝ่ายต่างๆ มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันทำให้มีการติดต่อประสานงานเชื่อมโยง ระหว่างฝ่ายงานมากขึ้น การทำงานจึงมีความต่อเนื่องกันเหมือนห่วงโซ่ นอกจากนั้นกิจกรรมการผลิตบางอย่างยังสามารถที่จะใช้
ทรัพยากรร่วมกันภายในองค์กรได้ด้วย ซึ่งเป็ นการช่วยลดต้นทุนการผลิตได้ในระดับหนึ่ง

ระยะที่ 4 องค์กรที่รวมการดำเนินงานภายนอกธุรกิจไว้ด้วยกัน
(The Externally Integrated Company)
     ระยะนี้เป็นระยะที่บริษัทก้าวเข้าสู่รูปแบบการบริหารแบบซัพพลายเชนอย่างเต็มตัว โดยบริษัทได้ปรับโครงสร้างการบริหารแบบซัพพลายเชนภายในบริษัทของตนเองไว้เรียบร้อยแล้ว และเริ่มหันมา
ให้ความสำคัญกับกลยุทธ์การบริหารลูกโซ่อุปทานภายนอก โดยเข้าไปทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์ในลักษณะที่เป็นเครือข่ายการทำงานเดียวกัน เพื่อควบคุมคุณภาพการผลิตวัตถุดิบ คุณลักษณะของวัตถุดิบและวิธีการผลิตวัตถุดิบในโรงงานของซัพพลายเออร์และในบางกรณีบริษัทผู้ผลิตอาจเปิดโอกาสซัพพลายเออร์เข้ามา เปิดสถานี หรือโรงงานย่อย เพื่อนำส่งวัตถุดิบให้กับริษัทได้อย่างสะดวก รวดเร็วและประหยัดต้นทุน

การจัดการซัพพลายเชน
     เป็นการจัดการที่ต้องอาศัยความร่วมมือของคู่ค้าที่เกี่ยวข้อง ในซัพพลายเชนเราเป็นสำคัญ องค์กรที่มีความรู้ในการบริหาร จัดการดีควรต้องถ่ายทอดแนวคิดและวิธีการปรับปรุงระบบงานและการประสานงานระหว่างองค์กรให้แก่องค์กรอื่นๆ ในซัพพลายเชน การพัฒนาศักยภาพของซัพพลายเชนนั้น นอกจาก
ระบบการประสานงานที่ดีภายในองค์กรแต่ละองค์กรแล้ว จะต้องพิจารณาความสามารถในการประสานระบบงานระหว่างองค์กรใน 3 ส่วนหลัก ได้แก่
 1. ศักยภาพในการประสานระบบการจัดการระหว่างกลุ่ม
suppliers (Supply-management interface capabilities)
      เพื่อให้ระบบปฏิบัติการโดยรวมมีต้นทุนต่ำ ที่สุด มีระบบโลจิสติกส์ในการส่งผ่านวัตถุดิบ ผลิต และส่งมอบสินค้าที่มีประสิทธิภาพและสามารถใช้ประสิทธิภาพของระบบโลจิสติกส์ในการแข่งขันเชิงรุกเพื่อสร้างสรรค์ระบบการส่งมอบสินค้าที่รวดเร็วตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น
 2. ศักยภาพในการประสานระบบการจัดการให้สอดคล้องกับความต้องการขอลูกค้
(Demand-management interface capabilities)
      เป็นระบบการบริหารจัดการเพื่อการให้บริการที่มีคุณภาพและการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ทั้งก่อน ระหว่าง และภายหลังการขาย เพื่อสร้างความได้เปรียบเพิ่มขึ้นในเชิงการแข่งขันคุณภาพโลจิสติกส์ที่ต้องการคือ ความรวดเร็ว การมีสินค้าพร้อมจำหน่ายเมื่อลูกค้าต้องการ การส่งมอบสินค้าที่สมบูรณ์สอดคล้องตามความต้องการของลูกค้าและการมีระบบสิ่อสารที่ลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องหรือสอบถามและร้องเรียนกับทางบริษัทได้สะดวก ศักยภาพในการบริการยังหมายถึง ความสามารถในการให้บริการที่ยืดหยุ่นมากขึ้นในแง่ของการเปลี่ยนแปลงคำสั่งซื้อในเรื่องของปริมาร สถานที่ ชนิด ได้ในระยะเวลากระชั้นชิดมากขึ้น ตลอดจนความสามารถในการผลิตและส่งมอบสินค้าในปริมาณมากด้วยความรวดเร็วได้เมื่อเกิดความต้องการสินค้าแบบไม่คาดหมายขึ้น
 3. ศักยภาพในการประสานระบบการจัดการสารสนเทศ
(Information management capabilities)
     ระบบสื่อสารระหว่างองค์กรในซัพพลายเชนมีความสำคัญอย่างยิ่ง ก่อนที่บริษัทข้ามชาติจะเริ่มต้นประกอบการในประเทศต่างๆ จะต้องมีการวางโครงสร้างพื้น ฐานทาง IT พิจารณาวางแผน
กับปัญหาในเรื่องการประสานข้อมูลต่างๆ ทั้งในระบบองค์กรและระหว่างองค์กรโดยพัฒนาร่วมกันไปพร้อมๆ กับการวางกลยุทธ์ระบบสื่อสารที่ดีทำให้เกิดความรวดเร็วและประหยัดต้นทุนในการดำเนินงานได้มาก เมื่อเริ่มต้นประกอบการแล้วจึงมักได้เปรียบคู่แข่งในท้องถิ่นเสมอ ประเด็นที่ต้องพิจารณาในการพัฒนาระบบการสื่อสารได้แก่ ระดับเทคโนโลยี เช่น hardware, software การออกแบบและระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ระดับการใช้ประโยชน์ในข้อมูลร่วมกัน ข้อมูลในระดับปฏิบัติการ ข้อมูลด้านยุทธ์ศาสตร์ ข้อมูลทางการเงิน หรือข้อมูลในระดับเทคนิค และความสามารถในการเชื่อมต่อของระบบ เช่น ความรวดเร็วในการส่งผ่านข้อมูล ความรวดเร็วในการดำเนินการเมื่อได้รับข้อมูลและการจัดวางรูปแบบข้อมูลที่สามารถนำไปใช้งานต่อเนื่องได้ทันที

Bullwhip Effect

     คือปัญหาที่เกิดจากความแปรปรวนเล็กน้อยของความต้องการถูกนำมาขยาย เมื่อส่งข้อมูลกลับต้นทาง


ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ (E-business)
      ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ (e-Business) หรือในบางครั้งเรียกว่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) เป็นการใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ในกระบวนการทางธุรกิจและการดำเนินงานระหว่างธุรกิจกับธุรกิจและระหว่างบุคคลกับธุรกิจ ในธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ (e-Business) จะมีการทำธุรกรรมผ่านสื่อต่างๆ ทางอิเล็กส์ทรอนิกส์ เช่น การสั่ง ซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ต การโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ

     ธุรกิจที่อยู่ในโซ่อุปทานส่วนใหญ่จะมีการดำเนินธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์กับซัพพลายเออร์และลูกค้าประโยชน์ที่ได้รับจากการทำธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์มีหลายประการ เช่น

  • เกิดการประหยัดต้นทุน เนื่องจากมีการใช้เทคโนโลยี
  • แทนแรงงานคน ซึ่งทำให้ราคาของสินค้าลดลง
  • ลดการใช้คนกลางในการดำเนินธุรกิจ เช่น ผู้ค้าส่งผู้ค้าปลีก ผู้ให้บริการ ฯลฯ
  • ลดกิจกรรมที่ไม่จำเป็ นระหว่างโซ่อุปทาน
  • ทำให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากสารสนเทศมากขึ้น
การใช้บาร์โค้ด (Bar code)

       บาร์โค้ดหรือรหัสแท่ง เป็ นสัญลักษณ์ที่อยู่ในรูปของแท่งบาร์โดยจะประกอบไปด้วยบาร์ที่มีสีเข้มและช่องว่างสีอ่อน ซึ่งบาร์เหล่านี้จะเป็ นตัวแทนของตัวเลขและตัวอักษร สามารถอ่านได้ด้วยเครื่อง Scanner บาร์โค้ดจึงทำหน้าที่ในการจัดเก็บข้อมูลต่างๆ ของสินค้า อาทิ หมายเลขของสินค้า ครั้งที่ทำการผลิต เลขหมายเรียงลำดับกล่องเพื่อการขนส่ง ปริมาณสินค้าทีีผลิต รวมถึงตำแหน่งผู้รับสินค้า เป็นต้น เพี่อให้สามารถควบคุมการหมุนเวียนของสินค้าโดยรวดเร็วขึ้นไม่ว่าจะเป็ นการรับ การจัดเก็บและการจ่ายสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ นับว่ามีประโยชน์อย่างมากในปัจจุบันและที่สำคัญการติดบาร์โค้ดถือเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนให้เกิดการจัดการซัพพลายเชน ลดระยะเวลาและความซํ้าซ้อนในการทำงานปัจจุบันรหัสสากร (EAN Thailand) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นสถาบันทีีควบคุม ดูแลและส่งเสริมการใช้ระบบมาตรฐาน ECC : UCC (ย่อมาจาก European Article Number : Uniform Code Council)ในประเทศไทย ซึ่งมาตรฐานดังกล่าวถือเป็นมาตรฐานสากลที่ทุกอุตสาหกรรมของนานาประเทศนิยมใช้กัน โดยหมายเลขบาร์โค้ดจะไม่ซํ้าซ้อนกัน เพื่อให้สามารถอ้างอิงกลับมายังสินค้าหรือ
บริการนั้นๆ ได้อย่างถูกต้อง

การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์
(EDI : Electronic Data Interchange)

       เป็นเทคโนโลยีอีกประการหนึ่งที่มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการจัดการซัพพลายเชน เป็นระบบถ่ายทอดข่าวสารข้อมูลจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่งในรูปสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ โดยรูปแบบข่าวสารข้อมูลนั้นจะมีการจัดรูปแบบและมีความเป็นมาตรฐานเดียวกันตามที่ได้ตกลงกันไว้ เรียกว่า EDI Message ผ่านเครือข่ายการสื่อสาร (Telecommunication Network) ทำให้เพิ่มความถูกต้องและรวดเร็วในการทำงาน

       ทั้งผู้ส่งและผู้รับข้อมูลต่างก็สามารถเข้าถึง EDI message ได้โดยไม่ต้องเสียเวลาในการบันทึกข้อมูลเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์หรือพิมพ์ข้อมูลการสั่ง ซื้อออกมาเป็ นเอกสารทำให้ประหยัดเวลาและลดค่าใช้จ่ายในการจัดส่งเอกสาร ลดปัญหาการสูญหายและความผิดพลาดเนื่องจากมีระบบฐานข้อมูลที่ถูกต้อง

การใช้ซอฟแวร์ Application SCM

      การนำซอฟแวร์มาพัฒนาและประยุกต์ใช้งานในปัจจุบันยกตัวอย่างเช่น Enterprise Resource Planning (ERP) เป็นซอฟแวร์ทีี่จัดเป็นระบบศูนย์กลางขององค์กรทั้งหมด ทำหน้าที่ประสานงานหลักๆ ในด้านต่างๆ เช่น การเงิน การผลิต และการจัดคลังสินค้า
      Advance Planning and Scheduling จัดสร้างแผนการผลิตและจัดตารางเวลาโรงงานการผลิต ใช้เงื่อนไขข้อจำกัดและกฎเกณฑ์ทางธุรกิจในการปรับตารางให้ดีที่สุด

      Inventory Planning วางแผนคลังสินค้าที่จำเป็นในแต่ละจุดเพี่อกระจายการจัดส่ง เพื่อให้ตรงตามความต้องการของตลาด
       Customer Asset Management ใช้สำหรับจัดระบบการสื่อสารโต้ตอบกับลูกค้ารวมทั้งระบบขายอัตโนมัติและการให้บริการลูกค้า เป็นต้น
       ซึ่งในปัจจุบันผู้ผลิตระบบ ERP หลักๆ มีอยู่ 5 รายด้วยกัน คือ SAP, ORACLE, Peoplesoft, J.D. Edwards และ Baan




บทที่ 6 Supply chain management


บทที่ 6
Supply chain management

Supply Chain Management

vการจัดการกล่มุ ของกิจกรรมงาน กล่าวคือ ตั้งแต่การรับวัตถุดิบมาจาก Supplies แล้วเปลี่ยนวัตถุดิบนั้นให้เป็นสินค้าขั้นกลาง และสินค้า ขั้นสุดท้าย จนกระทั่งจัดส่งสินค้าให้แก่ลูกค้า



vสิ่งที่จะทำให้เข้าใจถึงหน้าที่ของการผลิตและวิธีการควบคุมการผลิตนั้น เราจะต้อง
เข้าใจในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวในกระบวนการผลิตอยู่ 2 สิ่งหลักๆ คือ

  1. วัตถุดิบ (Materials)
  2. สารสนเทศ (Information)
รูปที่ 1 แสดงการเคลื่อนไหวของวัตถุดิบ และสารสนเทศ ซึ่งอยู่ในกระบวนการผลิตทุกแห่ง




vปัญหาคือความสนใจที่แตกต่างกันของผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น
  • ลูกค้ามักต้องการสินค้าที่ถูกต้องสมบูรณ์แบบและมีราคาถูก
  • พนักงานในสายการผลิตอยากรู้คำสั่ง ที่ถูกต้อง
  • ฝ่ายจัดซื้อต้องการได้วัตถุดิบที่ถูกต้อง มีคุณภาพ
  • ผู้จำหน่ายวัตถุดิบต้องการคำสั่ง ซื้อที่ถูกต้องเพี่อจะได้จัดส่งได้ถูกต้อง
  • ผู้จัดการต้องการรายงานที่ถูกต้อง
ประโยชน์ของการทำ SCM
  • การเคลื่อนไหลของวัตถุดิบและสารสนเทศเป็นไปอย่างราบรื่น
  • ปรับปรุงระดับของสินค้าคงเหลือ
  • เพิ่ม ความเร็วได้มากขึ้น
  • ขจัดความสิ้นเปลืองหรือความสูญเปล่าต่างๆ ในกระบวนการทางธุรกิจให้หมดไปได้
  • ลดต้นทุนในกิจกรรมต่างๆ ได้
  • ปรับปรุงการบริการลูกค้า
การบูรณาการในห่วงโซ่อุปทาน(Supply Chain Integration)
vการบูรณาการกระบวนการภายในทางธุรกิจให้เป็นแบบไร้รอยตะเข็บ ไร้ความสูญเสีย และมีความยืดหยุ่น ใช้นโยบายการทำงานแบบข้ามสายงาน ลดกระบวนการและขั้นตอนการทำงานที่ไม่จำเป็น
vการบูรณาการกับกระบวนการภายนอก นั้นคือบูรณาการกับกระบวนการของลูกค้าที่สำคัญและผู้จัดหาวัตถุดิบที่สำคัญให้เข้ากับกระบวนการภายในของบริษัทอย่างมีประสิทธิภาพ และไร้รอยตะเข็บ ซึ่งจะส่งผลให้สามารถตอบสนองความ ต้องการของลูกค้าได้อย่างยืดหยุ่น และ รวดเร็ว ขณะที่ต้นทุนลดตํ่าลง
vการบูรณาการทางเทคโนโลยีการสื่อสารและสารสนเทศ เพื่อให้การแลกเปลี่ยน และประสานข้อมูลข่าวสารภายในองค์กรและระหว่างองค์กรเป็นไปอย่าง ถูกต้องรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ เทคโนโลยีที่นิยมใช้กันได้แก่ ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์(E-bussiness) การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์
(Electronic Data Interchange-EDI) การส่งจดหมาย ทางอิเล็กทรอนิกส์(E-Mail) บาร์โค้ด(Bar Code) การชี้บ่งตำแหน่ง ด้วยคลื่นความถี่วิทยุ(Radio Frequency Identification RFID) อินเทอร์เน็ตอินทราเน็ต ซอฟท์แวร์การวางแผนทรัพยากรวิสาหกิจ (Enterprise Resource Planning-ERP) เป็นต้น

Value Chain ห่วงโซ่คุณค่า


บทที่ 5 E-commerce


บทที่ 5
E-Commerce

ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Business)

vธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Business)คือกระบวนการดำเนินธุรกิจโดยอาศัยเทคโนโลยีเครือข่ายที่เรียกว่าองค์การเครือข่ายร่วม (Internet worked Network) ไม่ว่าจะเป็นการ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Commerce) การติดต่อสื่อสารและ การทำงานร่วมกัน หรือแม้แต่ระบบธุรกิจภายในองค์กร

การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Commerce)

vพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การดำเนินธุรกิจ โดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ (ECRC Thailand,1999)
vพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การผลิต การกระจาย การตลาด การขายหรือ การขนส่งผลิตภัณฑ์ และบริการโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ (WTO,1998)

vพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ ขบวนการที่ใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อทำธุรกิจที่จะบรรลุเป้าหมายขององค์กร พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ใช้ เทคโนโลยีประเภทต่าง ๆ และครอบคลุมรูปแบบทางการเงินทั้งหลาย เช่น ธนาคารอิเล็กทรอนิกส์, การค้าอิเล็กทรอนิกส์, อีดีไอหรือการ แลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์, ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์, โทรสาร, คะตะล้อกอิเล็กทรอนิกส์, การประชุมทางไกล และรูปแบบต่าง ๆ ที่เป็น ข้อมูลระหว่างองค์กร (ESCAP,1998)
vพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ ธุรกรรมทุกรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรม เชิงพาณิชย์ ทั้งในระดับองค์กร และส่วนบุคคล บนพื้นฐานของการประมวล และการส่งข้อมูลดิจิทัล ที่มีทั้งข้อความ เสียง และภาพ (OECD,1997)


vพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การทำธุรกิจทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งขึ้นอยู่กับการประมวล และการส่งข้อมูลที่มีข้อความ เสียง และภาพ ประเภทของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการขายสินค้า และบริการด้วยสื่อ อิเล็กทรอนิกส์, การขนส่งผลิตภัณฑ์ที่เป็นเนื้อหาข้อมูลแบบดิจิทัลใน ระบบออนไลน์, การโอนเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์, การจำหน่วยหุ้นทาง อิเล็กทรอนิกส์, การประมูล, การออกแบบทางวิศวกรรมร่วมกัน, การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ, การขายตรง, การให้บริการหลังการขาย ทั้งนี้ ใช้กับสินค้า (เช่น สินค้าบริโภค, อุปกรณ์ทางการแพทย์) และบริการ (เช่น บริการขายข้อมูล, บริการด้านการเงิน, บริการด้าน กฎหมาย) รวมทั้งกิจการทั่วไป (เช่น สาธารณสุข, การศึกษา, ศูนย์การค้าเสมือน (Virtual Mall) (European union,1997)

สรุป

vพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic commerce) คือ การทำธุรกรรมผ่าน สื่ออิเล็กทรอนิกส์ ในทุกช่องทางที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การซื้อขาย สินค้าและบริการ การโฆษณาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์ โทรทัศน์ วิทยุ หรือแม้แต่อินเทอร์เน็ต เป็นต้น โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กร โดยการ ลดบทบาทองค์ประกอบทางธุรกิจลง เช่น ทำเลที่ตั้ง อาคารประกอบการ โกดังเก็บสินค้า ห้องแสดงสินค้า รวมถึงพนักงานขาย พนักงานแนะนำ สินค้า พนักงานต้อนรับลูกค้า เป็นต้น จึงลดข้อจำกัดของระยะทาง และ เวลาลงได้

กรอบการทำงาน (E-Commerce Framework)

การประยุกต์ใช้ (E-commerce Application)


  • การค้าปลีกอิเล็กทรอนิกส์ (E-Retailing)
  • การโฆษณาอิเล็กทรอนิกส์ (E-Advertisement)
  • การประมูลอิเล็กทรอนิกส์ (E-Auctions)
  • การบริการอิเล็กทรอนิกส์(E-Service)
  • รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (E-Government)
  • การพาณิชย์ผ่านระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่(M-Commerce : Mobile Commerce)
โครงสร้างพื้นฐาน (E-Commerce Infrastructure)

vองค์ประกอบหลักสำคัญดา้ นเทคโนโลยีพนื้ ฐาน ที่จะนำมาใช้เพอื่ การ
พัฒนาระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ โดยแบ่งออกเป็น 4 ส่วนได้แก่


  1.  ระบบเครือข่าย (Network)
  2. ช่องทางการติดต่อสื่อสาร (Chanel Of Communication)
  3. การจัดรูปแบบและการเผยแพร่เนื้อหา(Format & Content Publishing)
  4.  การรักษาความปลอดภัย (Security)
การสนับสนุน (E-Commerce Supporting)
     ส่วนของการสนับสนุนจะทำหน้าที่ช่วยเหลือและสนับสนุนส่วยของการประยุกต์ใช้งานให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เปรียบเสมือนเสาหลักของบ้าน ที่ทำหน้าที่ค้ำจุนให้หลังคาบ้านอย่างไรก็ตามเสาบ้านก็ต้องอาศัยพื้นบาน ในส่วนของโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อที่จะยืนหยัดอยู่ได้ อย่างมั่นคงต่อไป สำ หรับส่วนสนับสนุนของ E-Commerce มีองค์ประกอบ 5 ส่วนด้วยกันดังต่อไปนี้


  1. การพัฒนาระบบงาน E-Commerce Application Development
  2.  การวางแผนกลยุทธ์ E-Commerce Strategy
  3. กฎหมายพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ E-Commerce Law
  4. การจดทะเบียนโดเมนเนม Domain Name Registration
  5. การโปรโมทเว็บไซต์ Website Promotion
การจัดการการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

The Dimensions of E-Commerce


ประเภทของ E-Commerce
กลุ่มธุรกิจที่ค้ากำไร (Profits Organization)
  1. Business-to-Business (B2B)
  2. Business-to-Customer (B2C)
  3. Business-to-Business-to-Customer (B2B2C)
  4. Customer-to-Customer (C2C)
  5. Customer-to-Business (C2B)
  6. Mobile Commerce


กลุ่มธุรกิจที่ไม่ค้ากำไร (Non-Profit Organization)

  1. Intrabusiness (Organization) E-Commerce
  2. Business-to-Employee (B2E)
  3. Government-to-Citizen (G2C)
  4. Collaborative Commerce (C-Commerce)
  5. Exchange-to-Exchange (E2E)
  6. E-Learning
E-Commerce Business Model
vแบบจำลองทางธุรกิจหมายถึง
     วิธีการดำเนินการทางธุรกิจที่ช่วยสร้างรายได้ อันจะทำให้ บริษัทอยู่ต่อไปได้ นอกจากนี้ยังรวมถึงกิจกรรมที่ช่วยสร้าง มูลค่าเพิ่ม (Value Add) ให้กับสินค้าและบริการ
     วิธีการที่องค์กรคิดค้นขึ้นมาเพื่อประยุกต์ใช้ทรัพยากรของ องค์กรอย่างเต็มที่ อันจะก่อให้เกิดผลกำไรสูงสุดและเพิ่มมูลค่า ของสินค้าและบริการ

ข้อแตกต่างระหว่างการทำธุรกจิ ทั่วไปกับการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

ข้อดีและข้อเสียของ E-Commerce
ข้อดี
  1. สามารถเปดิ ดำเนนิ การได้ตลอด 24 ชั่วโมง
  2. สามารถดำเนินการค้าขายได้อย่างอิสระทั่วโลก
  3. ใช้ต้นทุนในการลงทุนต่ำ
  4. ไม่ต้องเสียค่าเดินทางในระหว่างการดำเนินการ
  5. ง่ายต่อการประชาสัมพันธ์ และยังสามารถประชาสัมพันธ์ในครั้งเดียวแต่ไปได้ทั่วโลก
  6. สามารถเข้าถึงลูกค้าที่ใช้บริการอินเทอร์เนตได้ง่าย
  7. ประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาสำหรับผู้ซื้อและผู้ขาย
  8. ไม่จำเป็นต้องเปิดเป็นร้านขายสินค้าจริงๆ
ข้อเสีย
  1. ต้องมีระบบการรักษาความปลอดภัยของระบบที่มีประสิทธิภาพ
  2. ไม่สามารถเข้าถึงลูกค้าที่ไม่ได้ใช้บริการอินเทอร์เนตได้
  3. ขาดความเชื่อมั่นในเรื่องการชำระเงินผ่านทางบัตรเครดิต
  4. ขาดกฎหมายรองรับในเรื่องการดำเนินการธุรกิจขายสินค้าแบบออนไลน์
  5. การดำเนินการทางด้านภาษียังไม่ชัดเจน









บทที่ 4 E-business strategy


บทที่ 4
E-business strategy


Business Strategy

        คือ กลยุทธ์ที่จะเชื่อมให้ แบบจำลองทางธุรกิจ เป็นจริงได้ ทำยังไงให้ การสร้าง มูลค่า นั้นเป็นจริงได้ แล้วทำยังไงที่จะส่ง มูลค่า นั้นให้กับลูกค้าได้ดีที่สุด และทำยังไงให้มันแตกต่าง การทำธุรกิจด้านอิเล็กทรอนิกส์ไม่ใช่เพียงแค่การสร้างธุรกิออนไลน์ แต่เป็นการสร้างธุรกิจที่มีความแตกต่างอย่างไรก็ตามในเรื่องนี้จะพูถึงตัวแบบขั้นตอนกลยุทธ์หลักในการทำธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ ทั้ง 4 ขั้นตอนดังนี้
  1. Strategic evaluation : กลยุทธ์การประเมิน
  2. Strategic objectives : กลยุทธ์การวางแผนวัตถุประสงค์
  3. Strategy definition : กลยุทธ์การกำหนดนิยาม
  4. Strategy implementation : กลยุทธ์การดำเนินงาน

กลยุทธ์ของธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ (E-Business Strategies)
    กลยุทธ์ เป็นตัวกำหนดทิศทางและการดำเนินงาน ด้านต่างๆ ขององค์กร กลยุทธ์เป็นเสมือนกับเหตุผลและความมุ่งหมายขององค์กร ไม่เพียงแต่กลยุทธ์เท่านั้นที่สำคัญ แต่การวางแผนและการลงมือจำเป็นไม่แพ้กัน สรุปปัจจัยสำคัญของกลยุทธ์ที่สามารถนำมาใช้ได้ซึ่งก็คือ
  • ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เป็นอยู่ในตลาดขณะนี้หรือไม่
  • กำหนดนิยามว่าจะไปถึงวัตถุประสงค์ที่วางไว้อย่างไร
  • กำหนดการจัดสรรทรัพยากรเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
  • เลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมเพื่อ ที่จะได้เปรียบคู่แข่ง ในตลาด
  • จัดหาแผนงานระยะยาวเพื่อพัฒนาองค์กร
       องค์ประกอบที่สำคัญของกลยุทธ์ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ คือ การสร้างช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ให้กับองค์กร กลยุทธ์ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์จะช่วยในการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนหรือเหมาะสม หากปราศจากการ กำหนดเป้าหมาย การดำเนินงานจะเป็นไปอย่างเชื่องช้าและติดขัด จำเป็นที่จะต้องกำหนดช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ว่าจะถูกไปใช้ร่วมกันกับช่องทาง อื่นๆ ได้อย่างไร สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ กลยุทธ์อิเล็กทรอนิกส์จะต้องทำให้องค์กรมั่นใจว่าจะได้รับความพึงพอใจจากภายในและเกิดผลประโยชน์จากการนำเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้มาใช้


vกลยุทธ์ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ จะสำเร็จได้เมื่อมีการสร้างคุณค่าที่ต่างกันสำหรับทุกฝ่าย เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์จะไม่เกิดขึ้นแบบเดี่ยวๆ ดังนั้นจะต้องมีการนำ หลายๆ ช่องทางมาใช้ร่วมกัน ซึ่งการเลือกช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ที่เหมาะสมนั้นบางทีอาจเรียกว่า การใช้ช่องทางการค้าที่ถูกต้อง สามารถสรุปได้ดังนี้
  • เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ถูกต้อง
  • ใช้ช่องทางที่ถูกต้อง
  • ใช้ข้อความที่จะสื่ออย่างถูกต้อง
  • ใช้ในเวลาที่ถูกต้อง

vกลยุทธ์ของธุรกิจเล็กทรอนิกส์ ต้องกำหนดวิธีที่องค์กรจะได้รับคุณค่าจากการใช้ เครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์


Different forms of organizational strategy



Relationship between e-business strategy and other strategies

E-channel strategies
        E-Channel ย่อมาจาก electronic channels คือ การสร้างช่องทาง 
ใหม่ๆ ในการกระจายสินค้า ทั้งจากลูกค้า และคู่ค้า โดยที่ช่องทาง 
ทางอิเล็กทรอนิกส์ สามารถกำหนดวิธีการที่ใช้ทำงานร่วมกับ
ช่องทางอื่นๆจากหลายช่องทางของกลยุทธ์ E-Business



multi-channel e-business strategy

     
กลยุทธ์หลายช่องทาง e - business เป็นการกำหนดวิธีการทางการตลาดที่แตกต่าง และ ช่องทางของห่วงโซ่อุปทาน ดังนั้นจึงควรมีการบูรณาการ และ ทุกๆกลยุทธ์ควรจะสนับสนุนซึ่งกัน

ตัวอย่าง multi-channel ของกลยุทธ์การเช็คอินของ AIR ASIA

Strategy process models for e-business
  • Strategy Formulation
  • Strategic Implementation
  • Strategic Control and Evaluation


Strategy Formulation
vการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอกเพื่อหาโอกาสและภัยคุกคาม โดยพิจารณา ในแง่ต่างๆ
       เช่น การเมือง เศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี การต่างประเทศ ตลาด ลูกค้า คู่แข่ง ผู้สนับสนุน
       วัตถุดิบ และตลาดแรงงาน ฯลฯ
vการวิเคราะห์สถานการณ์ภายในเพื่อหาจุดแข็งและจุดอ่อน เช่น ความสามารถ ด้านการตลาด
       การผลิต การเงิน สารสนเทศ กฎระเบียบ การจัดการ และ ทรัพยากรบุคคล ฯลฯ
vการกำหนดหรือทบทวนวิสัยทัศน์และภารกิจขององค์การเพื่อกำหนดให้แน่ชัดว่า
  • องค์การของเราจะมีลักษณะเช่นใด
  • มีหน้าที่บริการอะไร แก่ใครบ้าง
  • โดยมีปรัชญา หรือค่านิยมหลักในการดำเนินการเช่นใด

vการกำหนดวัตถุประสงค์ขององค์การในระยะของแผนกลยุทธ์
vการวิเคราะห์และเลือกกำหนดกลยุทธ์และแนวทางพัฒนาองค์การ

Strategic Implementation
vการกำหนดเป้าหมายการดำเนินงาน
vการวางแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ที่ระบุกิจกรรมต่างๆ ที่จะต้องดำเนินการ
vการปรับปรุง พัฒนาองค์การ เช่น ในด้านโครงสร้างระบบงาน ทรัพยากรบุคคล วัฒนธรรมองค์การและปัจจัย การบริการต่างๆ ในองค์การ
Strategic Control and Evaluation
 vการติดตามตรวจสอบผลการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์
vการติดตามสถานการณ์และเง่อื นไขต่างๆ ทีอาจเปลี่ยนแปลง ไปซึ่งอาจทำให้ต้องมีการปรับแผนกลยุทธ์

Strategy process models for e-business